กินหวานอย่างไร ไม่ทำร้ายสุขภาพ

❓รู้หรือไม่ แต่ละวัยนั้น เหมาะกับของหวานแตกต่างกัน

👍ซึ่งหากกินของหวานอย่างถูกต้อง ตามวัย ก็จะห่างไกลจากโรคร้าย และทำให้สุขภาพดีด้วยค่ะ

👧🏻เริ่มจาก ของหวานสำหรับวัยเด็กและวัยรุ่น (6-20 ปี)

ของหวานกับเด็ก ถือเป็นของคู่กัน แต่หากกินมากเกินไปก็จะเกิดโทษต่อร่างกายได้

✅แต่หากกินอย่างเหมาะสม การกินของหวานก็จะช่วยกระตุ้นให้เด็กกินอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ ได้ดีขึ้น

❎แต่หากกินมากเกินไป ผลการวิจัยก็พบว่า ทำให้เด็กมีแนวโน้มกลายเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง ก้าวร้าวได้ และยังทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคฟันผุ

➡️ฉะนั้นวัยเด็กและวัยรุ่น จึงควรได้รับปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชาต่อวัน

➡️ขนมหวานที่แนะนำ ได้แก่ ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ถั่วแปบ แครกเกอร์โฮลวีท

➡️สำหรับขนมขบเคี้ยวควรเป็นพวกปลาเส้นหรือธัญพืชอบ ไอศกรีมสามารถทานได้นานๆ ครั้ง

👩ส่วนวัยผู้ใหญ่ อายุ 20-60 ปีนั้น

ผู้ใหญ่นั้น มักกินของหวานด้วยความเคยชิน เพราะพอกินเข้าไปก็จะทำให้หายเครียด แต่พฤติกรรมเหล่านี้ จะส่งผลเสียระยพยาว เพราะของหวานจะทำให้สดชื่นแค่ 30 นาทีแรก หลังจากกินเข้าไปเท่านั้น จากนั้นเมื่อน้ำตาลในเลือดลดลง ก็จะกระตุ้นร่างกายให้อยากของหวานเพิ่มขึ้นอีก

➡️ดังนั้นควรปรับพฤติกรรมด้วยการเลือกทานของหวานที่มีประโยชน์อย่างผลไม้ที่หวานน้อย เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล

➡️แต่ก็สามารถกินของหวานได้สัปดาห์ละครั้ง และตรวจน้ำตาลอยู่เป็นประจำนะคะ

👨‍🦳และสุดท้าย ของหวานสำหรับวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

ซึ่งวัยนี้ เป็นวัยที่เลี่ยงของหวานได้ เป็นดีที่สุด

❎เพราะหากกินมากเกินไป จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

➡️ผู้สูงอายุควรกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี กากใยสูง

➡️เช่น ข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช

➡️ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นของหวาน แต่ใส่น้ำตาลน้อยๆ ได้ เช่น เต้าส่วน ถั่วเขียวต้มน้ำตาล

✳️ของหวานแม้จะให้โทษ แต่หากเราเลือกกินให้ถูกต้องตามวัย และกินในปริมาณที่เหมาะสม

✳️ก็จะมีประโยชน์ ทั้งต่อร่างกาย และจิตใจ

😋ฉะนั้น มากินของหวานให้ถูกต้องกันนะคะ😋

งานส่งเสริมสุขภาพ ฝ่ายบริการสาธารณสุข กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม